วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องของรีเลย เมกเนติกคอนแทคเตอร์ และไทม์เมอร์

            อุปกรณ์ 3 ตัวนี้สำคัญมากในการจะทำวงจรที่ต้องใช้ กำลังไฟและสามารถทำวงจรที่ทำงานอัตโนมัติได้ด้วย น่าสนใจไหม มาดูกันเลย

                1.รีเลย์ เป็นอุปกรณ์สำหรับตัดต่อวงจร ทำหน้าที่เหมือนกับสวิตช์ไฟที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า โดยรีเลย์มีทั้งที่ทำงานในระบบไฟตรง DC และระบบไฟ AC แล้วจะทราบได้ไงว่ารีเลย์ตัวนี้ทำงานที่ไฟอะไร แรงดันเท่าไหร่นั้นเราสามารถดูได้จากข้อความที่ระบุบนตัวรีเลย์เลย

                                              รูปจากwww.semi-shop.com
                                           รูปที่1 ตัวอย่างข้อความบอกว่ารีเลย์ทำงานที่ไฟอะไร
           
                   จากรูปที่ 1 จะเป็นรีเลย์ ที่ทำงานด้วยไฟ DC 6 V มีคอนแทคที่ทนกระแสได้ 7 A ไฟ 220 VAC  10A ไฟ 120 VDC เป็นต้น โดยการต่อใช้งานนั้นจะมีลักษณะคือต่อตามรูปที่ 2  โดยเราต้องต่อขาคอลย์ ตำแหน่ง 85 และ 86 เข้ากับไฟใช้งานที่ระบุบนตัวรีเลย์ และต่อขาคอนแทคไปใช้งาน สังเกตุเมื่อเราต่อขาคอล์ยครบวงจรจะมีเสียงสวิตช์ภายในต่อกัน

                                                     รูปจาก www.weekendhobby.com
                                                 รูปจาก pigsweet-moo.blogspot.com

                                                             รูปที่2 ตัวอย่างการต่อวงจรรีเลย์

                     รีเลย์สามารถประยุกต์ไปใช้งานได้หลายวงจร เช่นวงจรตัดต่อหลอดไฟ วงจรตัดต่อมอเตอร์ต่างๆ โดขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานนำไปประยุกต์


                    ต่อมาเป็นเรื่องของเมกเนติกคอนแทคเตอร์ มันก็คือรีเลย์อีกรูปแบบหนึ่งครับ การทำงานเหมือนกัน แต่จุดที่แตกต่างกันคือ เมกเนติกคอนแทคเตอร์ คือสามารถทนกระแสได้มากกว่า จึงทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย มีทั้ง 1 เฟส และ 3 เฟส
                         รูปจาก kangyu2008.en.made-in-china.com
                                                      รูปที่3 ตัวอย่าง เมกเนติกคอนแทคเตอร์ 1 เฟส

                                                                         รูปจาก http://www.praguynakorn.com/
                                                     รูปที่4 ตัวอย่าง เมกเนติกคอนแทคเตอร์ 3 เฟส

                   สำหรับการใช้งานนั้น เราสามารถนำเมกเนติกคอนแทคเตอร์  ไปทำการตัดต่อวงจรที่มีกำลังงานมากๆได้ โดยเมกเนติกคอนแทคเตอร์ จะมีขาที่ต่อใช้งานสำหรับป้อนไฟควบคุมการตัดต่อ คือ ขา A1 และขา A2 เมื่อเราจ่ายไฟเข้าสองขานี้จะทำให้เมกเนติกคอนแทคเตอร์ ทำงานต่อคอนแท็ค 1 เฟส หรือ 3 เฟส ตัวอย่างการต่อวงจรใช้งานตามรูป
http://www.pacontrol.com/image/magnetic_motor_starter_control_circuit.gif

รูปที่5 ตัวอย่าง การต่อใช้งานเมกเนติกคอนแทคเตอร์ 
          การทำงานของวงจร เมื่อกด สวิตซ์ start ทำให้ไฟฟ้า ไหลเข้าสู่วงจร ควบคุมการทำงานของเมกเนติกคอนแทคเตอร์  ในขนาดที่หน้าสัมผัสของเมกเนติกคอนแทคเตอร์  ต่อทำให้คอนแทค M1 ที่เมกเนติกคอนแทคเตอร์ ทำงานด้วยจึงทำให้เมกเนติกคอนแทคเตอร์  ทำงานอยู่ในสภาวะค้าง และเมื่อกดปุ่ม stop จะมีผลทำให้วงจรไม่ครบวงจร ทำให้ชุดควบคุมเมกเนติกคอนแทคเตอร์ หยุดทำงาน ส่วน สวิตซ์ OL s นั้นเป็นชุดป้องกันการกินกระแสเกินของโหลด ทำงานเมื่อโหลดกินกระแสเกิน จะทำการตัดวงจรการทำงานอีกขั้นหนึ่ง


ไทม์เมอร์ คือ รีเลย์อีกชนิดหนึ่งที่มีการทำงาน โดยสามารถตั้งเวลา ในการ ON OFF คอนแท็คได้ทำเมอร์จะมีขาที่ควบคุม คือขา A1 และขา A2 เมื่อจ่ายไฟเข้าจะทำให้วงจรตั้งเวลาในเครื่องทำงาน และจะทำงานเมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้
http://www.omron-ap.co.th/product_info/H3YN/h3yn_solidstate_timer.jpg

รูปที่6 ตัวอย่าง ไทม์เมอร์
             สำหรับการต่อใช้งานนั้นขออธิบายตามรูป
http://www.omron-ap.com/FAQ/FAQ03053/faq03053_01.jpg


รูปที่6 ตัวอย่าง การใช้งานไทม์เมอร์

               จากรูปเมื่อเริ่มกด สวิตซ์ start จะทำให้วงจรไทม์เมอร์ทำงาน เมื่อทำงานทำให้คอนแทค ของไทม์เมอร์ T/a ต่อทำให้ เมกเนติก X1 ทำงาน เมื่อ X1ทำงานจะทำให้ X1/a ทำงานด้วยทำให้ เมกเนติก x2 ทำงานเมื่อ x2 ทำงานก็จะทำให้ คอนแทค x2 /b ทำงานทำให้ตัดขาควบคุมไทม์เมอร์ออกไป  

การต่อหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ 1 หลอด 2 สวิตซ์

              หลังจากที่ได้เรียนรู้วงจรหลอดไฟกันไปแล้ว ต่อมาเราจะทำให้หลอดไฟของเราหนึ่งหลอด สามารถเปิด สวิตช์และปิด โดยใช้สวิตซ์ 2 ตัวกัน มาดูวงจรกันเลย

         
                                                                รูปจาก home2all.com
                                                         รูปที่ 1 การต่อวงจรสวิตช์ 2 ทาง

                จุดสำคัญของวงจรนี้คือสวิตช์ที่ใช้นี้ต้องเป็น สวิตช์แบบ 2 ทางเท่านั้น เวลาไปซื้อให้บอกคนขายเลยว่าสวิตช์ 2 ทาง

                ปรกติแล้ว สวิตช์ตัดต่อวงจร จะมีสัญลักษณ์ ดังรูปที่ 2 คือ
                               1.ปรกติเปิด NO (Normal Open) คือเมื่อต่อวงจรเข้าสวิตช์ ไฟจะไม่สามารถไหลครบวงจรได้
                               2.ปรกติปิด NC (Normal Close) คือเมื่อต่อวงจรเข้าสวิตช์ ไฟจะสามารถไหลครบวงจรได้

                                                                  รูปจาก kampol.htc.ac.th
                                                               รูปที่ 2 รูปแบบภายใน สวิตช์ 2 ทาง

                   ถ้าเป็น สวิตช์ทางเดียวปรกติจะมีลักษณะเป็นระบบ NO แต่ระบบสวิตช์ 2 ทางจะมีระบบทั้ง NO และ NC อยู่ภายในตัวสวิตช์รวมในตัวเดียว

วงจรหลอดไฟฟลูออเรซเซน

                  วงจรแรกที่ต้องเจอประจำที่บ้านไหนๆก็ต้องมี ก่อนอื่นทำความเข้าใจกับขนาดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์กันก่อนว่า ทำไมหลอดมันมีทั้งสั้นและยาว มันมีทั้งสีขาว และแสงสีเหลืองมันคืออะไร และมีอุปกรณ์อะไรบ้างที่ใช้ในวงจรหลอดไฟ

                  หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์นที่ขนาดไม่เท่ากันนั้นมันจะบอกถึงอัตราการใช้กำลังไฟฟ้า โดยมีหน่วยเป็นวัตต์ ใช้ตัวย่ิอ(W)


                                                                                   รูปจาก http://transferlightingthai.makewebeasy.com

                                                   รูปที่ 1 ขนาดหลอดไฟฟลูออเรซเซนต่างๆ

                     โดยจะมีตัวหนังสือเขียนบริเวณใกล้ๆ ขั้วหลอด ว่ามีขนาดกี่วัตต์ โดยปรกติที่ใช้กันตามบ้านจะมี 2 ขนาด คือ 18 W และ 36 W โดยหลอดไฟที่ใช้อยู่นั้นจะมีขนาดของตัวหลอดที่ต่างกันขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
                                                                                                                  รูปจาก  www.lekise.co.th 

                                        รูปที่ 2 จุดบอกขนาดหลอด
ฟลูออเรสเซนต์และแสงที่ออกมา

โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งแสงที่เกิดจากหลอด
ฟลูออเรสเซนต์จะมีอยู่ 3 ชนิดคือ

                1. Day light                     ให้แสงสีขาว
                2. Cool day light             ให้แสงสีขาวสว่าง
   3. Warm white               ให้แสงสีอมเหลือง

โดยแสงที่ออกมาจากหลอดไฟฟลูออเรซเซน จะแสดงอยู่บรเวณใกล้ขั้วหลอด

            ส่วนที่ 2 ที่วงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์นต้องมีคือ ส่วนของ บัลลาซ ซึ่งบัลลาซก็จะมีขนาดตามหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่ใช้ และบัลลาซจะมี 2 ชนิด คือ บัลลาซธรรมดา กับ บัลลาซอิเล็กทรอนิกส์


                                                               รูปจาก www.panachai.com
                                                         รูปที่ 3 บัลลาซธรรมดา


                                                      รูปจาก  www.ebigthailand.com
                                                                รูปที่ 4 บัลลาซอิเล็กทรอนิกส์

         ส่วนที่สาม ของวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ คือ สตาร์ทเตอร์ เป็นตัวทำหน้าที่เป็นตัวทำให้ใส้หลอดฟลูออเรสเซนต์ติด

                                    รูปจาก www.numsinonline.com 

                                                     รูปที่ 5 สตาร์ทเตอร์

ส่วนสุดท้าย คือ ขาหลอดฟลูออเรสเซนต์  ทำหน้าที่ยึดหลอดไฟกับชุดฐานหลอด


                                                               รูปจาก www.bspwit.ac.th
                                                      รูปที่ 6 ขายึดขั้วหลอดไฟ

          และส่วนที่่ จะทำให้วงจรสามารถตัดต่อได้ ก็คือ สวิตช์ปิดเปิด ซึ่งทำหน้าที่ตัดต่อไฟเข้าวงจรหลอดไฟนั่นเอง
opicstock.pantip.com
                                                รูปที่ 7  สวิตช์ปิดเปิดหลอดไฟ

            สำหรับวงจรการต่อนั้นจะมีการต่อวงจรดังรูป 


                                                                  รูปจาก www.kksci.com 
                                              รูปที่ 8 การต่อวงจรหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ 


พื้นฐานระบบไฟฟ้า ต้องทำความเข้าใจเพื่อเป็นช่างที่ดี

                  ก่อนที่จะทำการซ่อมระบบไฟฟ้าต่างได้นั้นเราต้องมาทราบถึงพื้นฐานของระบบไฟฟ้าเสียก่อน ในประเทศไทยจะมีการจ่ายไฟฟ้าอยู่ 2 ระบบ คือระบบ 1 เฟส กับ ระบบ 3เฟส โดยในที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะใช้ระบบไฟฟ้า 1 เฟส  และระบบ 3 เฟส จะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่  
                  
                  ระบบไฟฟ้าระบบ 1 เฟส  จะมีสายไฟใช้ 2 สาย สายเส้นหนึ่งจะมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ เรียกสายนี้ว่า Line ใช้ตัวย่อในระบบไฟฟ้า "L"ส่วนอีกสายหนึ่งจะเป็นสายที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ เรียกสายนี้ว่า Neutral ใช้ตัวย่อในระบบไฟฟ้า "N" จะต้องใช้ทั้ง 2 สายเพื่อให้กระแสไฟฟ้าครบวงจร นอกจากนี้ในเต้ารับ อาจพบว่ามีสายไฟเพิ่มขึ้นมาอีก 1 สาย ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้า แบบ 1 เฟสเหมือนกันแต่ช่องที่เพิ่มขึ้นมานั้นเป็นช่องที่ต่อกับสายดิน ใช้ตัวย่อ "GND" เพื่อให้กระแส ไฟฟ้าไหลลงดินเวลาเกิดไฟรั่ว


                                                           รูปที่่ 1 ระบบไฟ 1 เฟส  3 สาย




                                                       รูปที่่ 2 ระบบเต้ารับ ที่มีะบบ 3 สาย


                                                 
                                                      รูปที่่ 3 ระบบเต้ารับ ที่มีระบบ 2 สาย


                      ระบบไฟฟ้า 2 เฟสนั้น จะมีแรงดันไฟฟ้า วัดโดยใช้มิเตอร์วัดคร่อม 2 สาย จะมีแรงดัน ประมาณ 220 V อ่านว่า 220 โวลต์ ซึ่ง V (โวลต์) เป็นหน่วยที่ใช้วัดแรงดันทางไฟฟ้า เราสามารถทดสอบว่าสายไหนเป็น สาย L หรือสาย N โดยใช้ไขควงวัดไฟฟ้า ทดสอบโดยการใช้ปลายไขควงทดสอบวัดโดยถ้าสายไหนเป็นสาย L หลอดไฟในไขควงจะติด หรือถ้าวัดแล้วหลอดไฟไม่ติดแสดงว่าหลอดนั้นเป็น N

                                                                  รูปที่่ 4 ไขควงวัดไฟฟ้า
                           



                                                          รูปที่่ 5 ดิจิตอลมิเตอร์วัดไฟฟ้า

                การใช้ไขควงเช็คไฟนั้น จะใช้ปลายไขควงแตะบริเวณที่ต้องการจะทำการวัด และมือเราต้องจับเหล็กบริเวณด้านด้ามไขควง ถ้าไม่จับเหล็กบริเวณนี้ไฟจะไม่ครบวงจร หลอดไฟภายในจะไม่ติด และเวลาทำการวัดห้ามจับบริเวณด้านเหล็กปลายไขควงเพราะบริเวณนี้จะมีไฟฟ้าสามารถดูดเราได้



                                   รูปที่่ 6การใช้ไขควงวัดไฟ จับเหล็กบริเวณด้ามจับแล้วทำการวัด

                   ส่วนระบบไฟฟ้า 3 เฟสนั้น จะมี L อยู่ 3 สาย คือ สาย L1 สาย L2 และ สาย L 3 โดยปรกติจะมีแรงดันวัดระหว่างสายอยู่ประมาณ 380 V  แต่เมื่อวัดสาย L1 สาย L2 และ สาย L 3  กับ สาย N  จะมีแรงดันประมาณ 220 V



                                                       รูปที่่ 7 ระบบไฟฟ้า 3เฟส 4 สาย






                                                                                                               ขอบคุณรูปจากเวปต่างที่ผมได้ยืมใช้ครับ

                                                                                                                                                                http://www.steelhow.com/
                                                                                                                                   http://eelabb.blogspot.com/p/lab1.html                                                                                                                                                       http://www.chongchai2012.com
                                                                                                                                                     http://thailandmultimeter.com                                                                                                                                                         http://www.chongchai2012.com
                                                                                                                                                          http://www.smarttooltech.net